วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สมัยใหม่

สมัยใหม่

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กาลิเลโอ กาลิเลอี บิดาแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
สมัยใหม่ เป็นช่วงเวลาหนึ่งของอารยธรรมต่างๆ ซึ่งในช่วงนี้ อารยธรรมนั้น ๆ จะเริ่มมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เริ่มมีแนวคิดที่ยึดหลักความจริง หลุดพ้นจากความเชื่องมงายหลายอย่างในอดีต
นักวิชาการได้กำหนดช่วงเวลาที่เป็น "สมัยใหม่" ของสากลโลกไว้ให้เป็นช่วง ค.ศ. 1453-ค.ศ. 1945 โดยเริ่มนับจากการล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์และสิ้นสุดลงหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ
นับตั้งแต่สมัยกลางตอนปลายเป็นต้นมา ผู้คนเริ่มสงสัยในความเชื่อและเนื้อหาตำราเรียนแบบเก่า ๆ ที่เชื่อกันมายาวนาน และไม่นาน ความเชื่อเก่าๆ และอำนาจการปกครองที่เด็ดขาดของศาสนจักรเริ่มเสื่อมถอยลง ผู้คนเริ่มเชื่อว่ามนุษย์สามารถลิขิตชีวิตของตนได้ด้วยการกระทำของตนเอง จึงเริ่มดิ้นรนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า และมีการคิดค้นทฤษฎี สิ่งประดิษฐ์ รวมไปถึงศิลปะขึ้นมากมาย ทำให้เข้าสู่สมัยใหม่ในที่สุด
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่อยู่ในช่วงปลายสมัยกลางถึงต้นสมัยใหม่ ซึ่งการเริ่มต้นของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในช่วงปลายสมัยกลาง เป็นปัจจัยสำคัญที่ชักนำโลกเข้าสู่สมัยใหม่ คือ วิทยาการต่างๆ จากโรมัน เริ่มถูกฟื้นฟูขึ้นมาและแผ่กระจายไปในแถบยุโรป
เทคโนโลยีถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนในช่วงปลายของสมัยใหม่ วิทยาการถูกใช้ไปในทางการเข่นฆ่ากันเองของมนุษย์ เกิดสงครามโลก สังหารผู้คนไปหลายสิบล้านคน จนในที่สุดก็มีการตระหนักถึงการใช้วิทยาการอย่างถูกทาง และมีการควบคุมเทคโนโลยีที่อาจก่ออันตราย แต่ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สมัยใหม่สิ้นสุดลง และเข้าสู่ สมัยปัจจุบัน ตั้งแต่ ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา

สมัยยุคหินใหม่

ยุคหินใหม่ มีอายุประมาณ 4,000 ปี ก่อนคริสตกาล
        1.3.1 มนุษย์ยุคหินใหม่ รู้จักผลิตอาหารได้เอง รู้จักการทอผ้า ใช้เครื่องนุ่งห่มและทำเครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ยังทำด้วยหิน เขาสัตว์ หรือกระดูกสัตว์ แต่พัฒนาฝีมือประณีตขึ้น จึงมักเรียกยุคนี้ว่า "ยุคหินขัด" ตลอดจนรู้จักการนำสุนัขมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน
        1.3.2 การตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนและพัฒนาเป็นสังคมเกษตรกรรม มนุษย์ในยุคหินใหม่หยุดการเร่ร่อนติดตามฝูงสัตว์ จะตั้งถิ่นฐานถาวรเป็นกระท่อมดินเหนียวหรือไม้อย่างง่ายๆ รวมตัวเป็นหมู่บ้าน มีผู้นำ หัวหน้าเผ่า และประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีการค้า มีช่างฝีมือ ฯลฯ มีความเจริญมากขึ้น
        1.3.3 ผลงานด้านศิลปวัฒนธรรม มีเครื่องประดับตกแต่ง เครื่องใช้ประเภทเครื่องปั้นดินเผาและอนุสาวรีย์หิน ซึ่งเป็นงานสถาปัตยกรรมพื้นฐานของมนุษย์ ที่มีชื่อเสียงมาก คือ "สโตนเฮนจ์" (Stonehenge) ในอังกฤษ สันสวงอาทิตย์

การดำรงชีวิตของมนุษย์ยุคหินใหม่
"สโตนเฮนจ์" (Stonehenge)

2. ยุคโลหะ(Metal Age) แบ่งออกเป็น 2 ยุคย่อย คือ ยุคสำริดและยุคเหล็ก
    2.1 ยุคสำริด (Bronze Age) ยุคสำริดเริ่มต้นในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกเมื่อประมาณ 4,000 – 2,700 ปีมาแล้วสำริดเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก กรรมวิธีการทำสำริดค่อนข้างยุ่งยาก ตั้งแต่การหาแหล่งแร่ การเตรียม การถลุงแร่ และการผสมแร่ในเบ้าหลอม จากนั้นจึงเป็นการขึ้นรูปทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยการตีหรือการหล่อในแม่พิมพ์หินทรายหรือแม่พิมพ์ดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ในยุคสำริดที่พบตามแหล่งต่าง ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก นอกจากทำด้วยสำริดแล้ว ยังพบเครื่องมือเครื่องใช้ทำจากดินเผา หิน และแร่ ในบางแหล่งมีการใช้สำริดต่อเนื่องมาจนถึงยุคเหล็ก เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากสำริดมีขวาน หอก ภาชนะ กำไล ตุ้มหู ลูกปัด ฯลฯ ในยุคนี้ความเป็นอยู่ของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปมากทั้งด้านการเมืองและสังคม ชุมชนเกษตรกรรมขยายตัวจนกลายเป็นชุมชนเมือง จึงมีการจัดแบ่งความสัมพันธ์ตามความสามารถ เช่น กลุ่มอาชีพ มีการจัดระเบียบสังคมเป็นกลุ่มชนชั้นต่าง ๆ ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการผลิต อันนำไปสู่ความมั่นคงปลอดภัยกว่าเดิม และมีความสะดวกสบายมากขึ้น นำไปสู่พัฒนาการทางสังคมสู่ความเป็นรัฐในเวลาต่อมา 

เครื่องมือสำริด

สมัยโบราณ

สมัยโบราณ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ระวังสับสนกับ สมัยเรเนซองต์
ฟาโรห์ ผู้ปกครองอารยธรรมอียิปต์ อารยธรรมที่โด่งดังในสมัยโบราณ
สาธารณรัฐโรมัน อารยธรรมที่โด่งดังอีกแห่งในสมัยโบราณ
สมัยโบราณ (อังกฤษAncient history) ในความหมายที่เป็นสากล จะหมายถึง ช่วงเวลาที่มนุษย์รู้จักการตั้งถิ่นฐานถาวร สร้างอารยธรรม วัฒนธรรม อักษรต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งในแต่ละประเทศ สมัยโบราณจะมาถึงเร็วหรือช้า จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลาใดทีประเทศนั้นอยู่ในช่วงสร้างและประดิษฐ์อารยธรรมที่จะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าอารยธรรมของประเทศนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ช่วงเวลานั้น ของประเทศนั้น ก็จะจัดอยู่ในช่วงสมัยโบราณ
สมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลกจะตรงกับ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 476 เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว อารยรรมที่โด่งดังจำนวนมากของโลกถือกำเนิดในช่วงนี้ เช่น อารยธรรมโรมัน กรีก เมโสโปเตเมีย จีน อินเดีย อียิปต์ ฯลฯ นักประวัติศาสตร์ทั่วโลกจึงกำหนดช่วงเวลาดังกล่าวให้เป็นสมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลก
สมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลก สิ้นสุดใน ค.ศ. 476 เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลง เหลือแต่จักรวรรดิโรมันตะวันออก ที่เปิดเมืองรับเอาศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาทสูงในสังคมโรมัน และอิทธิพลของโรมันก็แผ่ขยายไปทั่วยุโรป และไปทั่วโลก ทำให้โลกโดยรวมออกจากสมัยโบราณ เข้าสู่สมัยกลาง(Middle Ages)
ทางด้านอารยธรรมสมัยโบราณของต่างประเทศ โดยเฉพาะในแถบยุโรป มีอารยธรรมที่น่าสนใจเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น อารยธรรมอียิปต์ กรีก โรมัน บุคคลที่มีชีวิตอยู่ในช่วงหลายพันปีก่อน แล้วยังมีชื่อเสียงอยู่จนถึงปัจจุบันมีมากมาย เช่น จูเลียส ซีซาร์คลีโอพัตรา รวมทั้งฟาโรห์หลายพระองค์แห่งอียิปต์

สมัยโบราณในยุโรป[แก้]

ดูบทความหลักที่: สมัยคลาสสิก
สมัยโบราณในยุโรปหรือบางครั้งเรียกว่า “สมัยคลาสสิก” (อังกฤษClassical antiquity หรือ Classical era หรือ Classical period) เป็นคำกว้าง ๆ ที่ใช้เรียกสมัยของประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่มีศูนย์กลางอยู่ในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ประกอบด้วยวัฒนธรรมของกรีกโบราณ และ โรมันโบราณที่เรียกรวมกันว่าโลกกรีก-โรมัน
ยุคโบราณโดยทั่วไปเริ่มขึ้นเมื่อมีการบันทึกมหากาพย์โดยโฮเมอร์เมื่อราว 800 ถึง 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช และดำเนินต่อมาจนถึงการรุ่งเรืองของคริสต์ศาสนาและการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ยุคโบราณสิ้นสุดลงเมื่อเกิดการสลายตัวของวัฒนธรรมคลาสสิกในตอนปลายของยุคโบราณตอนปลาย (Late Antiquity) (ค.ศ. 300-ค.ศ. 600) ที่คาบต่อไปยังสมัยยุคกลางตอนต้น (ค.ศ. 600-ค.ศ. 1000)
ยุคโบราณมักจะหมายถึงมุมมองอันเป็นอุดมคติของยุคของผู้คนในสมัยต่อมาเช่นในคำกล่าวของเอดการ์ อัลเลน โพ ที่ว่า “ความรุ่งโรจน์ในกาลครั้งหนึ่งของกรีกโบราณ, ความยิ่งใหญ่ในกาลครั้งหนึ่งของโรมันโบราณ!”[1]
วัฒนธรรมของกรีกโบราณมีอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ต่อภาษา การปกครอง ระบบการศึกษา ศิลปะ และ สถาปัตยกรรมของโลกยุคใหม่ เป็นเชื้อเพลิงของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของยุโรปตะวันตกและอีกครั้งหนึ่งในยุคฟื้นฟูคลาสสิกในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19
2800 ปีก่อน ในเอเซีย เป็นยุคทองของราชวงศ์โจว ของจีน มีตำนานนาจา เกิดจากดอกบัว มี 3เศียร 6กร มีเทพนักรบเอ้อหลางพร้อมเทพสุนัขคู่ใจ


สมัยกรุงธนบุรี

ประวัติการสถาปนากรุงธนบุรี

     กรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อสงกรานต์ เดือน 5  เมษายน  พ.ศ. 2310  แต่ก่อนจะเลิกทัพ กลับไป  แม่ทัพพม่าตั้งให้สุกี้พระนายกอง เป็นนายใหญ่คุมกำลังประมาณ 3,000 อยู่ที่ ค่ายโพธิ์สามต้น ข้างเหนือพระนครศรีอยุธยา แห่งหนึ่ง  แล้วให้ไทยชื่อ นายทองอิน คุมกำลังตั้งอยู่ที่เมืองธนบุรี อีกแห่งหนึ่ง สั่งให้คอยค้นหาผู้คน และสืบทรัพย์สมบัติ ซึ่งยังตกค้าง รวบรวมส่งตามไปเมืองพม่า ด้วยเหตุนี้ พม่าจึงยังมีอำนาจอยู่ใน กรุงศรีอยุธยา และหัวเมืองใกล้เคียง

     พระเจ้าตากหนีออกจากพระนครศรีอยุธยา ก่อนกรุงแตก ไปรวบรวมผู้คน ทางเมืองชายทะเลตะวันออก อยู่ที่เมืองจันทบุรี

    ครั้นได้นายทัพนายกองเพิ่มเติมมากขึ้น  พอถึงเดือน 11 ปีกุน พ.ศ. 2310  ส้ินมรสุม พระเจ้าตากต่อเรือรบได้ 100 ลำ  รวบรวมทหารทั้งไทยจีนได้ประมาณ 5,000 ก็ยกทัพเรือออกจากเมืองจันทบุรี จะเข้าขับไล่พม่า  เมื่อจัดการเมืองชลบุร ีเรียบร้อยแล้ว ก็ยกกองทัพเรือมาเข้าปากน้ำเจ้าพระยา

     ฝ่ายนายทองอิน ซึ่งพม่าให้ตั้งรักษาเมืองธนบุรี รู้ว่าพระเจ้าตากยกกองทัพเรือ เข้ามาทางปากน้ำ ก็ให้รีบขึ้นไปบอกแก่สุกี้แม่ทัพ ที่ค่ายโพธิ์สามต้น แล้วเรียกคนขึ้น รักษาป้อมวิไชยประสิทธิ์และหน้าที่เชิงเทินเมืองธนบุรี คอยจะต่อสู้ ครั้นกองทัพ พระเจ้าตากยกขึ้นมาถึง พวกรี้พลที่รักษาหน้าที่ เห็นว่าเป็นกองทัพไทยยกมา ก็ไม่เป็นใจที่จะต่อสู้  รบพุ่งกันหน่อยหนึ่ง พระเจ้าตากก็ตีได้เมืองธนบุรี จับตัวนายทองอินได้ ให้ประหารชีวิตเสียแล้ว ให้เร่งกองทัพขึ้นไปยังกรุงศรีอยุธยา เพื่อเข้าตีค่ายโพธิ์สามต้น
พระเจ้าตากรวบรวมไพร่พล
อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน
พระเจ้าตากสิน ทรงรวบรวมไพร่พล ยกเข้านีค่ายพม่า ที่โพธิ์สามต้น (ภาพเขียนโดย นายอ่อน จาก โคลงภาพพระราชพงศาวดาร
ภาพประติมากรรมนูนต่ำ ด้านทิศเหนือ แสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ ช่วงก่อนและหลัง พ.ศ. 2310 ที่ผนังของฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่ กรุงธนบุรี
      พระเจ้าตากตีได้ค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้น อยู่ริมแควป่าสัก เหนือกรุงศรีอยุธยา ก็เท่ากับขับไล่พม่า แล้วยึดกรุงศรีอยุธยาคืนมา  แต่ยังไม่ฟื้นฟูพระนคร กลับรวบรวม ไพร่พลลงไปสถาปนาเมืองธนบุรีให้เป็นกรุงธนบุรี นาน 15 ปี
     เหตุการณ์ตอนนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีพระนิพนธ์เป็นลำดับว่า
     "เมื่อพระเจ้าตากมีชัยชนะพม่าแล้ว  ตั้งพักกองทัพ อยู่ที่ในค่ายพม่า ที่โพธิ์สามต้น ขณะนั้นผู้คนและทรัพย์สมบัติ ซึ่งสุกี้มิได้ส่งไปเมืองพม่า เอารวบรวมรักษาไว้ ในค่ายแม่ทัพ มีพวกข้าราชการที่พม่าจักเอาไปไว้หลายคน คือ พระยาธิเบศร์บดี จางวางมหาดเล็ก เป็นต้น ต่างพากันมาเฝ้าถวายบังคมเจ้าตาก ทูลให้ทราบถึงที่ พระเจ้าเอกทัศสวรรคต สุกี้ให้ฝังพระบรมศพไว้ที่ในกรุงฯ และทูลว่า ยังมีเจ้านาย ซึ่งพม่าจับได้ ต้องกักขังอยู่ในค่ายนั้นหลายพระองค์  ที่เป็นพระราชธิดา ของพระเจ้าบรมโกษฐ์ คือ เจ้าฟ้าสุริยาพระองค์หนึ่ง  เจ้าฟ้าพินทวดีพระองค์หนึ่ง เจ้าฟ้าจันทวดีพระองค์หนึ่ง  พระองค์เจ้าฟักทองพระองค์หนึ่ง  รวม  4  พระองค์ ที่เป็นชั้นหลานเธอ คือ หม่อมเจ้ามิตร ธิดาของกรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) องค์หนึ่ง หม่อมเจ้ากระจาด ธิดากรมหมื่นจิตรสุนทรองค์หนึ่ง  หม่อมเจ้ามณี ธิดากรมหมื่นเสพภักดีองค์หนึ่ง  หม่อมเจ้าฉิม ธิดาเจ้าฟ้าจีด องค์หนึ่ง รวม 4 องค์  เจ้านายทั้ง  8  องค์นี้  เมื่อพม่าจับได้ประชวรอยู่  จึงยังมิได้ส่งไปยัง เมืองอังวะ
     เจ้าตากทราบ ก็มีความสงสาร และแต่ก่อนมา เมื่อเจ้าตากได้เมืองจันทบุรีนั้น ก็ได้พบพระองค์เจ้าทับทิม ราชธิดาพระเจ้าเสือองค์หนึ่ง ซึ่งพวกข้าพาหนี ลงไปเมืองจันทบุรี เห็นจะเป็นเพราะเจ้าจอมมารดา เป็นญาติกับพระยาจันทบุรี เจ้าตากก็อุปการะทำนุบำรุงไว้  จึงสั่งให้จัดที่ให้เจ้านายประทับตามสมควร และให้ปล่อยคนทั้งปวง ที่ถูกพม่ากักขังไว้ แล้วแจกจ่ายทรัพย์สิ่งของ เครือ่งอุปโภคบริโภค  ประทานให้พ้นทุกข์ทรมานด้วยกันทั้งนั้น  แล้วจึงให้ปลูก เมรุดาดผ้าขาวที่ท้องสนามหลวง และให้สร้างพระโกศ กับเครื่องประดับ สำหรับงาน พระบรมศพตามกำลังที่จะทำได้
     ครั้นเตรียมการพร้อมเสร็จ เจ้าตาก จึงเสด็จเข้ามาตั้งพลับพลาอยู่ที่ในกรุงฯ ให้ขุดพระบรมศพพระเจ้าเอกทัศ เชิญลงพระโกศ ประดิษฐานที่ในพระเมรุ ที่สร้างไว้ ให้เที่ยวหาพระสงฆ์ ซึ่งยังมีเหลืออยู่ นิมนต์มารับทักษิณานุปทาน และสดับปกรณ์ ตามประเพณี  แล้วเจ้าตากกับเจ้านายในพระราชวงศ์เดิม และข้าราชการทั้งปวง ก็ถวายพระเพลิง พระบรมศพและประจุพระอัฐิธาตุ ตามเยี่ยงอย่าง สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนมา
พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน
พระบรมรูปพระเจ้าตากสิน
พระประติมากรรมนู่นต่ำ ด้านทิศใต้ แสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ ช่วงก่อนและหลัง พ.ศ. 2310 ที่ผนังฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสิน
พระบรมรูป สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่พระตำหนักเก๋งคู่ ในพระราชวังเดิม กรุงธนบุรี
     ในหนังสือพระราชพงศาวดาร กล่าวว่า เมื่อเจ้าตาก ทำการพระบรมศพ พระเจ้าเอกทัศเสร็จแล้ว  คิดจะปฏิสังขรณ์พระนครศรีอยุธยา ตั้งเป็นราชธานี ดังแต่ก่อนมา  จึงขึ้นทรงช้างที่นั่งเที่ยวทอดพระเนตรในบริเวณพระราชวัง และประพาสตามท้องที่ในพระนคร เห็นปราสาทราชมนเทียร ตำหนักใหญ่น้อย ทั้งอาวาสวิหาร และบ้านเรือนชาวพระนคร ถูกข้าศึกเผาทำลายเสียเป็นอันมาก ที่ยังดีอยู่นั้นน้อย  ก็สังเวชสลดพระหฤทัย ในวันนั้น เสด็จเข้าไปประทับแรม อยู่ที่พระที่นั่งทรงปืน อันเป็นท้องพระโรงที่เสด็จออกข้างท้ายวังมาแต่ก่อน เจ้าตาก ทรงพระสุบินว่า สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนมาขับไล่ มิให้อยู่ ครั้นรุ่งเช้า จึงเล่าพระสุบินให้ข้าราชการทั้งปวงฟัง แล้วดำรัสว่า เดิมเราคิดจะปฏิสังขรณ์ พระนครให้คืนดีดังเก่า แต่เมื่อเจ้าของเดิมท่านยังหวงแหนอยู่ฉะนี้ เราชวนกัน ไปสร้างเมืองธนบุรีเถิด
     แล้วเจ้าตาก ก็ให้อพยพผู้คนลงมาตั้งราชธานี อยู่ที่เมืองธนบุรี แต่นั้นมา"
     เมื่อกำจัดศัตรูของราชอาณาจักรศรีอยุธยาได้แล้ว พระเจ้าตากลงมาตั้งมั่้น อยู่เมืองธนบุรี (ดังกล่าวแล้ว) พระนิพนธ์สามกรุงของ น.ม.ส. พรรณนาว่า
     • แถลงปางสร้างราชธานีกรุงธนบุรี
บุราณนครก่อนมา ฯ 
     • ริมฝั่งแม่น้เจ้าพระยานานานาวา
ก็พักก็ผ่านด่านทาง ฯ 
     • ตั้งอยู่ตำบลหนกลางบางกอกสองบาง
ซึ่งน้อยและใหญ่ใกล้กัน ฯ 
     ต่อแต่นี้ ก็ทรงเป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ที่ทรงทำให้สถานะ พระมหากษัตริย์ ของราชอาณาจักรศรีอยุธยาเด่นชัดและสมบูรณ์อย่างไม่เป็นที่สงสัยอีกต่อไป
    
     กรุงศรีอยุธยา เสียแก่พม่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 แต่ก่อนหน้านั้นราว 3 เดือนกว่า สมเด็จพระเจ้า กรุงธนบุรี เมื่อยังเป็นพระยาตาก ได้พาสมัครพรรคพวก ไพร่พลไทยจีนจำนวนหนึ่ง ตีฝ่ากองทัพพม่า มุ่งหน้าไปทางชายทะเลตะวันออก
     พระยาตาก ไม่ใช่ทั้งคนแรก และคนสุดท้าย ที่ได้ละทิ้งหน้าที่หลบหนีไป เพราะระบบการเมือง และสังคมของราชอาณาจักรศรีอยุธยา ได้ล่มสลายลง ก่อนที่พม่าจะระเบิดป้อมทลายกำแพงแล้ว แต่นานไม่ถึง 9 เดือน หลังเสียกรุง พระยาตาก ได้ประกาศพระองค์ เป็นพระมหากษัตริย์ที่คนทั่วไปเรียกกันภายหลังว่า พระเจ้าตาก ยกกองทัพเรือจากเมืองจันทบุรี มายึด กรุงศรีอยุธยาคืน แล้วฟื้นฟูราชอาณาจักรศรีอยุธยา ขึ้นมาใหม่ ชื่อกรุงธนบุรี
พระเจ้าตาก
     อาจารย์นิธิ  เอียวศรีวงศ์  เขียนไว้ในหนังสือ การเมืองไทยสมัยพระเ
กรุงธนบุรี
กรุงธนบุรี จิตรกรรมในท้องพระโรง กรุงธนบุรี เมืองโบราณ สมุทรปราการ
     สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี นักธรรมชาติวิทยา ชาวเดนมาร์ก ผู้เคยพบเห็นพระองค์ และรายงานไว้ว่า ทรงเป็น "ลายร่างเล็ก" แต่พระราชประวัติ และวีรกรรม ของพระองค์ยิ่งใหญ่ยิ่ง  เป็นเหตุให้มีผู้แต่ง เสริมต่อเรื่องราวของพระองค์ ออกไปจนดูราวกับ "นิยาย"   ทั้ง ๆ  ที่สาระสำคัญของพระราชประวัติ สั้นนิดเดียว  ดังนี้
     สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงพระราชสมภพในฐานะ สามัญชน ลูกชาวจีน มีอาชีพค้าขายทางเกวียน และแม้ยังมีถิ่นฐานบ้างช่อง และญาติพี่น้อง อยู่ในภาคกลาง โดยเฉพาะที่พระนครศรีอยุธยา และลพบุรี แต่ก็ได้ทำการค้าอยู่ในหัวเมืองเหนือชายแดน
     เมื่อสบโอกาส ก็ได้เข้ารับราชการในหัวเมืองไกล คือ ตาก-ระแหง แะลในที่สุดก็ได้รับแต่งตั้ง เป็นเจ้าเมืองตาก
    ทรงเสกสมรสกับสามัญชนด้วยกัน ซึ่งมิได้มาจาก ตระกูลใหญ่นัก
     ในสงครามครั้งเสียกรุง ได้กวาดต้อนไพร่พล หลบพม่าลงมาเป็นกำลังแก่กรุงศรีอยุธยา ได้บำเหน็จ ความชอบจากการนั้นจ้ากรุงธนบุรี

กรุงศรีอยุทยา

อาณาจักรอยุธยา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
"กรุงศรีอยุธยา" เปลี่ยนทางมาที่นี่ สำหรับธนาคาร ดูที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
สำหรับความหมายอื่น ดูที่ อยุธยา ระวังสับสนกับ อโยธยา
อาณาจักรอยุธยา
ราชอาณาจักร
 

 

 

 
1893[1]–2310 
ธงค้าขายตราแผ่นดิน
แผนที่อุษาคเนย์ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15:
สีม่วงน้ำเงิน: อยุธยา
สีเขียวเข้ม: ล้านช้าง
สีม่วง: ล้านนา
สีส้ม: สุโขทัย
สีแดง: จักรวรรดิขะแมร์
สีเหลือง: จามปา
สีน้ำเงิน: ไดเวียด
เมืองหลวง- กรุงเทพทวารดีศรีอยุธยา
- พิษณุโลก (2006-2031) [2]
- ลพบุรี (2209-2231)
ภาษาไทย
รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบศักดินา
พระมหากษัตริย์
 - 1893 - 1952ราชวงศ์อู่ทอง
 - 1952 - 2112ราชวงศ์สุพรรณภูมิ
 - 2112 - 2172ราชวงศ์สุโขทัย
 - 2172 - 2231ราชวงศ์ปราสาททอง
 - 2231 - 2310ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
ยุคประวัติศาสตร์ยุคกลาง และยุคเรอเนซองส์
 - สถาปนา1893[1]
 - รัฐร่วมประมุขกับอาณาจักรสุโขทัย2011
 - เริ่มติดต่อกับโปรตุเกส2054
 - เสียกรุงครั้งที่หนึ่ง2112
 - ประกาศอิสรภาพ2127
 - การยึดอำนาจของสมเด็จพระเพทราชา2231
 - เสียกรุงครั้งที่สอง7 เมษายน 2310
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ ไทย
 ลาว
 กัมพูชา
 มาเลเซีย
 พม่า
 จีน
อาณาจักรอยุธยา เป็นอาณาจักรของชนชาติไทยในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงพ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310 มีกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางอำนาจหรือราชธานี อาณาจักรอยุธยานับว่าเจริญรุ่งเรืองจนอาจถือได้ว่าเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมั่งคั่งที่สุดในภูมิภาคสุวรรณภูมิ[3] ทั้งยังมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับหลายชาติ จนถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการค้าในระดับนานาชาติ[4] เช่น จีน เวียดนาม อินเดีย ญี่ปุ่น เปอร์เซีย รวมทั้งชาติตะวันตก เช่น โปรตุเกส สเปน ดัตช์ (ฮอลันดา) และฝรั่งเศส ซึ่งในช่วงเวลาหนึ่งเคยสามารถขยายอาณาเขตประเทศราชถึงรัฐฉานของพม่า อาณาจักรล้านนามณฑลยูนนาน อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรขอม และคาบสมุทรมลายูในปัจจุบัน[5]